Don't Copy From This Blog...
John Carpenter s Vampires (1998) ตำนานฝังเขี้ยว
เนื้อเรื่องโดยย่อ
: ยอมรับว่าตอนหนังออกฉายที่อเมริกาเล่นเอาผมอึ้ง เพราะหนังไต่อันดับขึ้นที่ 1 Box Office ประจำสัปดาห์ได้ ก็คาดไม่ถึงครับว่าด้วยฟอร์มหนังมันจะไต่กระไดไปถึงนั้นได้ แม้จะกำกับโดยลุง John Carpenter คนทำหนังสยองที่ดังจาก Halloween, The Fog และ The Thing แต่ลุงท่านก็อยู่ในช่วงขาลงมาตั้งนานแล้ว เห็นได้ขึ้นอันดับแบบนี้ก็อดดีใจด้วยไม่ได้ แม้จะเปิดตัวแค่ 9 ล้านก็เถอะ (ประมาณว่าช่วงนั้นมันฮาโลวีนครับ ไม่มีหนังสยองอะไรเข้าท่าเรื่องนี้เลยเข้าวิน) เรื่องราวก็ว่าด้วยการต่อสู้ของกลุ่มนักล่าแวมไพร์ที่ได้ศาสนจักรคอยหนุนหลังออกทุนให้ หัวหน้าคือ แจ๊ค โครว์ (James Woods) นักล่าแวมไพร์สไตล์แบดบอยที่โหดกับแวมไพร์ได้ทุกรูปแบบเพื่อปราบมัน เนื่องจากเขาต้องเสียพ่อแม่ไปเพราะพวกแวมไพร์นี่เอง เขาและมือขวาคู่ใจอย่างแอนโธนี่ มอนโตย่า (Daniel Baldwin) และพวกบุกลุยถล่มรังแวมไพร์ที่ว่ากันว่าเป็นที่ซ่อนของวาเลค (Thomas Ian Griffith) จอมผีดิบที่เก่าแก่และทรงพลังที่สุด แต่แล้วแจ๊คกับพวกก็ไม่พบร่องรอยของวาเลคเลย เจอแต่แวมไพร์ลูกจ๊อก แจ๊คก็เริ่มเอะใจแต่ยังไม่สงสัยมาก จนกระทั่งยามดึกมาถึงขณะที่แจ๊คและลูกทีมกำลังเปรมกับงานเลี้ยงเล็กๆ เจ้าวาเลคได้ปรากฏตัวออกมาฆ่าทุกคน จนเหลือเพียงแจ๊คและมอนโตย่า กับ แคทริน่า (Sheryl Lee) โสเภณีคนสวยที่โดนวาเลคกัดเข้าให้ แจ๊คเลยต้องหนีมาตั้งหลัก พร้อมทั้งหาความจริงไว้ไอ้วาเลคมันวางแผนอะไรอยู่และที่สำคัญคือมันรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร แล้วความจริงก็ค่อยๆ เผยครับว่าวาเลคต้องการสิ่งที่เรียกว่ากางเขนดำ อันจะสามารถทำให้แวมไพร์เดินกลางแดดได้ เอาล่ะสิ ขืนแจ๊คขัดขวางมันไม่ได้ล่ะก็เป็นอันจบเห่แน่ ตอนแรกนั้นนะครับ โปรเจคท์นี้ไม่ได้เป็นของลุง John ผมหรอก แต่เป็นหนังที่ผู้กำกับ Russell Mulcahy แห่ง Highlander และ The Shadow อยากทำ โดยให้ Dolph Lundgren (Rocky IV) แสดงนำ แต่ไปๆ มาๆ สองคนนี้เกิดไม่อยากทำหนังแวมไพร์ขึ้นมาซะอย่างงั้น เลยโยกกันไปทำ Silent Trigger หนังเกี่ยวกับมือปืนซุ่มยิงแทน (ซึ่งก็ไอ้เรื่องที่ว่านี่ก็เหมือนจะมีกึ๋นนะครับ ว่าด้วยมือปืนสองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง แอบปฏิบัติการซุ่มยิงในคืนหนึ่ง แล้วคืนนั้นสองคนก็เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตมือปืนว่ามันไม่ได้มีความสุขเลยให้ตายเถอะ แต่หนังก็ไม่ได้เข้าท่าอะไรมากมาย ดีแค่ประเด็นเริ่มเท่านั้นเอง) ทีนี้ทาง Largo Entertainment เจ้าของโปรเจคท์เลยต้องไปตามใครสักคนมาทำ เพราะบทหนังมันสร้างจากนิยายของ John Steakley ซึ่งซื้อมาแล้วอ้ะนะครับ ทิ้งให้ฝุ่นจับก็น่าเสียดายเงิน เลยมองซ้ายขวาหาคนทำ ช่วงนั้นลุง John ของผมก็เพิ่งทำ Escape from L.A เสร็จ ก็เกิดอยากล้างมืออำลาวงการ เนื่องจากเขาอิ่มตัวครับ รู้สึกว่าการทำหนังไม่ใช่งานสนุกท้าทายอีกต่อไปแล้ว แต่พอดี Largo ติดต่อมา ลุง John เลยลองอ่านบทดู แล้วก็ตามไปอ่านนิยายด้วย ทีนี้ความอยากทำหนังก็ฟื้นมาอีกครั้งครับ เพราะลุงแกรู้สึกว่าสามารถดัดแปลงเรื่องราวนี้ให้มีกลิ่นอายหนังตะวันตกแบบคาวบอยแทรกลงไปด้วยได้ พี่แกเลยรับทำ แต่ด้วยความที่สไตล์หนังเปลี่ยน ผู้สร้างเลยคิดว่าคงไม่ต้องใช้ทุนอะไรมากเท่าต้นฉบับ เพราะถ้าว่ากันตามนิยายนี่ หนังจะอลังการกว่ากันเยอะครับ อย่างทีมของแจ๊คเนี่ย ไม่ใช่แค่เจ็ดแปดคน แต่จะมาเป็นองค์กรต่อต้านแวมไพร์กันเลยล่ะครับ แต่นี่แค่ลดมาเป็นแบบลุยๆ คาวบอยๆ เลยลดทุนจาก 50 ล้านเหลือ 20 ล้านก็พอ หนังเลยไม่ได้มีอะไรมากนอกจากทุ่ง ทะเลทราย แล้วก็บ้านเก่าๆ สไตล์หนังคาวบอยจริงๆ ตัวหนังเองตอนต้นเรื่องผมว่าโอเคเลยนะครับ การตามล่าติดตามไล่ล่าแวมไพร์ รวมถึงตอนที่วาเลคบุกมาฆ่าพวกแจ๊ค หนังถือว่าสนุกมีลุ้นกำลังดี แต่ถัดจากนั้นมาพลังเหมือนจะอ่อนๆ ไปครับ เดินเรื่องเริ่มเอื่อยแล้วจะมาเข้าท่าอีกทีก็ตอนท้ายเลย จริงๆ ผมก็เข้าใจนะครับ เพราะพล็อตมันไม่ได้มีอะไร ช่วงกลางเลยเป็นการยัดฉากโน่นฉากนี้ให้เวลามันครบๆ มากกว่า ก็เสียดายเหมือนกันครับ ถ้าตรงกลางมีการทิ้งปม มีฉากตื่นเต้นอะไรมากกว่านี้คงสนุกทั้งเรื่องล่ะ นี่แหละครับ หนังลุง John ระยะหลังๆ เหมือนจะน่าสนใจ แต่ดูๆ ไปก็ไม่มีอะไรมากมาย อันที่จริงพลังดาราในหนังถือว่ามาวินเลยนะครับ ทั้ง Woods ทั้ง Baldwin ส่วน Griffith ก็เป็นแวมไพร์ได้น่าขนลุกมาก ดูพี่แกโหดจริงๆ ครับ แล้วยังได้ดาราออสการ์อย่าง Maximilian Schell มาเป็นท่านคาดินัลอัลบา ผู้คอยให้การสนับสนุนทีมของแจ๊ค ช่วงต้นเขายังไม่ได้แสดงอะไรมากครับ มาช่วงท้ายนี่แหละถึงค่อยดูมาอะไรขึ้นมาหน่อย ส่วน Lee ก็สวยเซ็กซี่กันไป น่ารักดีครับแต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ตัวหนังผมว่ามันก็ออกมาแนวคาวบอยจริงๆ แหละครับ โดยมีพวกแจ๊คเป็นพระเอกแบบคนเถื่อน ส่วนแวมไพร์ก็คือพวกนอกกฎหมายที่ปล้นฆ่า บรรยากาศบ้านเมืองแถบทะเลทรายก็ให้อารมณ์หนังคาวบอยได้ไม่เลว แต่ก็ไม่ได้เด่นจนถึงขนาดต้องเอ่ยชมว่าแปลกใหม่ยอดเยี่ยมหรอกครับ เอาเข้าจริงถ้าไม่สังเกตคุณอาจไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามันมีกลิ่นอายคาวบอยผสมอยู่น่ะ สรุปว่าตัวหนังมันเรื่อยๆ ครับ ดูได้แต่ไม่มันส์ตลอด สนุกจริงๆ ตอนต้นกับตอนท้าย แต่ก็มาเสียนิดหนึ่งตอนท้ายที่พี่วาเลคโดนสยบง่ายไปหน่อย (มุกเดิมโคตรๆ ครับ... แดดดดดดดดดด ออกกกกกกกก) ไหนๆ ก็ไหนๆ น่าจะเอาให้มันส์เต็มสูบกว่านี้หน่อย ประเภทลงไปในเหมืองมืดๆ ฉะกันให้ตายน่าจะลุ้นกว่ากันเยอะ ไม่ใช่หนังเลวร้ายหรอกครับ แต่ระหว่างผมเขียนเนี่ย ผมนึกถึงหนังแนวเดียวกับควบคู่ไปตลอด นั่นคือ From Dusk Till Dawn ที่ว่าด้วยแวมไพร์เหมือนกัน สไตล์ก็ออกนัวร์ๆ คาวบอยๆ หน่อยๆ ผมว่าอันนั้นจะออกมาดีกว่าเยอะครับ เรื่องนี้สไตล์มันเป็นแบบคนเก่าคนแก่น่ะ แหม ลุง John แกก็อายุหลายขวบแล้วนี่ครับ อีกอย่างแก่อยากทำแบบย้อนยุคสไตล์คาวบอยแบบเดิมๆ เลยไม่มีลูกเล่นอะไรมากมาย เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังแวมไพร์มากๆ แบบดูได้หมดขอให้เป็นแวมไพร์ก็พอ กับคนที่ชอบหนังของลุง John เขาน่ะครับ แต่อย่าคาดหวังมากล่ะ แค่เรื่อยๆ น่ะ
0 comments:
Post a Comment