Don't Copy From This Blog...
Gran Torino ว่าด้วยเรื่องราวของชายชราอดีตทหารผ่านศึกสมรภูมิเกา หลีชื่อวอลซ์ โควาลสกี้ (Eastwood) ด้วยความที่วอลซ์เป็นคนแก่หัวโบราณ เอาใจยาก ไม่สนใจใยดีใคร ขี้โมโห แถมในปากยังเลี้ยงสุนัขไว้เป็นฝูงอีกต่างหาก ทำให้ผู้ที่ใกล้ชิด ญาติโยม แม้แต่ลูกหลานยังเอือมจนต้องเบือนหน้าหนี หลังจากภรรยาต้องมาตายไป วอลซ์จึงถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ซึ่งเขาเองก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเพราะเขาอยากอยู่คน เดียวและไม่แคร์ใครอยู่แล้ว แต่แม้จะไม่มีใครอยากยุ่งด้วย แต่วอลซ์ก็ยังมีเพื่อนอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นก๊วนคนแก่มีไฟที่บาร์ หรือช่างตัดผมผู้ร่วมอุดมการณ์เลี้ยงสุนัขไว้ในปากเห มือนกัน ที่เจอกันทีไรเป็นต้องปล่อยสุนัขออกจากปากให้กัดกันต ลอด รวมถึงบาทหลวงหนุ่มชื่อยานโควิช (Carley) ที่เทียวไล้เทียวขื่อถามสารทุกข์สุขดิบถึงบ้านวอลซ์เ ป็นระยะๆ ตามคำฝากฝังก่อนตายของภรรยาวอลซ์ แต่หลังจากช่วยครอบครัวชาวม้งข้างบ้านจากอันธพาลท้อง ถิ่นที่คอยมาวุ่นวายโดยไม่ตั้งใจ วอลซ์ผู้เป็นที่เอือมระอาของคนใกล้ตัวกลับกลายเป็นฮี โร่ในหัวใจคนที่ไม่เคยรู้จักกันอย่างซู (Her) พี่สาวคนโตและเต๋า (Vang) น้องชายคนเล็กของครอบครัวม้งข้างบ้านไปซะ...และเรื่อ งราวความสัมพันธ์ที่ทั้งตลกทั้งซึ้งทั้งน่ากลัวของวอ ลซ์, ซู, เต๋า, แก็งค์อันธพาล และบาทหลวงยานโควิช ก็ได้เข้ามาเกี่ยวพันกันด้วยรถ Ford Gran Torino รุ่นปี 1972 โดยมีการชำระแค้นบางอย่างเป็นบทสรุป (ปู่แก่เจ้าอารมณ์ที่ภรรยาสุดที่รักเพิ่งเสียชีวิต, บ้านหลังเล็กๆ และเด็กชายชาวเอเชีย ดูแล้วนึกถึงหนังอนิเมชั่นเรื่อง UP ครับ โดยเฉพาะปู่วอลซ์ของเรื่องนี้กับปู่คาร์ลของเรื่อง UP และรูปทรงของบ้าน อย่างกับถอดแบบกันมา คงไม่มีใครลอกใครนะ 555) Gran Torino เป็นไปตามมาตรฐานของปู่ครับ นิยามต่อหนังปู่ Clint ของผมก็คือ “ง่ายและงาม” ไม่รู้ยังไงนะครับ ดูหนังของปู่ทีไร มันให้ความรู้สึกว่าภาพยนตร์นั้นสร้างง่ายทุกที ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ามันยากขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง แสง บทพูด รวมทั้งการแสดงที่ดูสบายๆ ไม่มีเค้น ไม่มีเน้น การนำเสนอออกจะเรียบเกินไปด้วยซ้ำ (ถ้าเป็นคนอื่นทำ บางทีหนังอาจจะออกมาน่าเบื่อมาก) แต่เมื่ออยู่ในมือปู่ Shot สบายๆ ง่ายๆ เหล่านั้นกลับน่าติดตาม ชวนดู มีพลังสะสม (แค่ปู่ชักนิ้วเปล่าออกมาทำท่ายิงปืนใส่ก็ดูมีพลังกว ่าทหารหน้าตาสุดโหดยกปืนกลมากราดใส่กันในหนังบางเรื่ องซะอีก) มากพอที่จะส่งให้บทสรุปเป็นอะไรที่สุดยอดเสมอ แถมยังได้ประเด็นและแง่มุมมากมายโดยไม่จำเป็นต้องมาน ั่งตีความแล้วตีความอีก นั่นก็คือความงามในหนังของปู่ ต่างจากหนังบางเรื่องที่ดูแล้ว โอ้โห ป๋าเหลือเกิน เจ๋งมาก รู้สึกทำย้ากยาก Symbolic เยอะแยะ สุดท้ายไม่น่าดูหรือดูไม่รู้เรื่องก็มี แต่ก็ว่ากันไม่ได้ครับ เพราะจะทำออกมาให้ดูง่ายและงามอย่างปู่ Clint ได้เนี่ย มันไม่ง่ายเลย ต้องมีส่วนประกอบที่หายาก นั่นคือ “ประสบการณ์” อันยาวนานแบบปู่เท่านั้นครับที่จะทำได้ ที่ผ่านมาผมเจอคนอย่างวอลซ์ โควาลสกี้เยอะครับ บางคนเอาใจยาก บางคนขี้โมโห บางคนเลี้ยงสุนัขไว้ในปาก บางคนถึงกับเป็นศูนย์รวมของทุกอย่างที่ว่าเลยทีเดียว และทุกครั้งที่เจอคนแบบนี้ ผมก็มักจะเอือมจนต้องตีตราไว้เพื่อพยายามหลีกหนีการต ้องปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ทุกครั้งที่มีโอกาส จนเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ผมไม่สามารถหนีได้อีกนั่นเองที ่ทำให้ผมตระหนักในบางอย่าง... การต้องทนอยู่กับคนที่ทำหรือพูดอะไรไม่ค่อยเข้าหูเรา เป็นเวลานานนั้น ทำให้ผมค้นพบว่า ผมไม่ได้ไม่ชอบคนเหล่านี้เพราะเขาเป็นแบบนี้หรอก แต่ที่ผมไม่ชอบเจอคนเหล่านี้ก็เพราะพวกเขาสะกิดให้ผม รู้ว่าผมก็มีสิ่งแย่ๆ เหล่านั้นอยู่ในตัวเหมือนกันต่างหาก และมันก็จริงครับ อยู่กับพวกเขาแล้วผมรู้เลยว่าผมนั้นทั้งเอาใจยาก ขี้โมโห และเลี้ยงสุนัขไว้ในปากอีก 4 ตัว (อาจจะ 5) อีกต่างหาก เมื่อผมได้รู้เช่นเห็นชาติในตัวเอง ความทุกข์ทรมานในการต้องอยู่กับพวกเขาและกับตัวเองก็ เบาบางลง เพราะเราจะรู้ว่ามันมีเหตุผลในความเป็นตัวเขาอยู่เสม อ หลังจากข้ามผ่านคำพูดไม่เข้าหู ข้ามผ่านการกระทำที่ไม่เข้าใจไปได้ ข้างในลึกๆ แล้วพวกเขาก็ล้วนเป็นคนดีกันทั้งนั้น...ไม่ทางใดก็ทา งหนึ่ง ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง...และเมื่อเทียบกับคนที่พูดจาด ี เอาใจง่าย ใจเย็น เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ดีไปทั้งหมด พวกเขาก็ล้วนเป็นคนไม่ดีกันได้...ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง...เฉกเช่นกัน ฉะนั้น หากเราเลิกหนี หากเรากลั้นใจก้าวข้ามความหงุดหงิดและความเซ็งของตนเ องได้ หากเราเปิดใจให้กว้างมากพอที่จะรับเอาอย่างอื่นที่จร ิงแท้มากกว่าแค่นิสัยแย่ๆ ของคนอื่นมาด้วยได้ (เหมือนที่ครอบครัวม้งในหนังทำ) นอกจากเราจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้นแล้ว เรายังอาจจะได้รับของขวัญล้ำค่าอย่างไม่น่าเชื่อจากค นเหล่านั้นก็เป็นได้...
0 comments:
Post a Comment